แนวข้อสอบพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
*************************
1. พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันใด
ก. ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ ค. ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔
ข. ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕ ง. ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๕
ตอบ ข. ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕
มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕เป็นต้นไป
2. ข้อใดคือ "ไม้ไหลลอย"
ก. บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ
ข. ไม้ที่ได้แปรรูปแล้วแต่ไม่หมายถึงไม้ที่ได้ทำเป็นเครื่องใช้หรือสิ่งของอื่นหรือประกอบ เข้ากับเครื่องใช้หรือสิ่งของอื่นแล้ว
ค. ไม้ต้น ไม้ซุง ไม้ท่อน ไม้เสา ไม้เข็ม ไม้หลัก ไม้เหลี่ยม ไม้กระดาน ซึ่งเป็นไม้หวงห้าม ที่ได้ไหลลอยโดยปราศจากการควบคุม
ง. ไม้สักและไม้อื่นทุกชนิด ที่เป็นต้น เป็นกอ เป็นเถา รวมตลอดถึงไม้ไผ่ทุกชนิด ปาล์ม หวาย ตลอดจนราก ปุ่ม ตอ เศษปลายและกิ่งของสิ่งนั้นๆไม่ว่าจะได้ถูกตัดตอนเลื่อยผ่าถากขุดหรือกระทำโดยประการอื่นใด
ตอบ ค. ไม้ต้น ไม้ซุง ไม้ท่อน ไม้เสา ไม้เข็ม ไม้หลัก ไม้เหลี่ยม ไม้กระดาน ซึ่งเป็นไม้หวงห้าม ที่ได้ไหลลอยโดยปราศจากการควบคุม
3. "ของป่า" หมายความว่าอย่างไร
ก. บรรดาของที่คนทำตกหล่นอยู่ในป่า
ข. บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ
ค. บรรดาของที่อยู่ในป่าที่คนสร้างไว้
ง. ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน
ตอบ ข. บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ
4. ข้อใด ไม่ใช่ ของป่า
ก. รังนก ค. แร่
ข. ยางไม้ ง. เป็นของป่าทุกข้อ
ตอบ ง. เป็นของป่าทุกข้อ
"ของป่า" หมายความว่า บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ คือ
ก. ไม้ รวมทั้งส่วนต่าง ๆ ของไม้ ถ่าน น้ำมันไม้ ยางไม้ ตลอดจน สิ่งอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากไม้
ข. พืชต่าง ๆ ตลอดจนสิ่งอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากพืชนั้น
ค. รังนก ครั่ง รวงผึ้ง น้ำผึ้ง มูลค้างคาว
5. เงินค่าธรรมเนียมซึ่งผู้ทำไม้หรือเก็บหาของป่าจะต้องเสียตามความในพระราชบัญญัตินี้ คืออะไร
ก. เงินภาษี ค. เงินได้
ข. ค่าภาคหลวง ง. เงินภาคหลวง
ตอบ ข.ค่าภาคหลวง
"ค่าภาคหลวง"หมายความว่าเงินค่าธรรมเนียมซึ่งผู้ทำไม้หรือเก็บหาของป่าจะต้องเสียตามความในพระราชบัญญัตินี้
6. ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำไม้ที่ไม่มีรอยตราอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ประทับไว้เว้นแต่จะได้มีข้อความระบุอนุญาตไว้ในใบอนุญาต ถูกกล่าวไว้ในมาตราใด
ก. มาตรา 10 ค. มาตรา 12
ข. มาตรา 8 ง. มาตรา 16
ตอบ ค. มาตรา 12
มาตรา๑๒ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำไม้ที่ไม่มีรอยตราอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ประทับไว้เว้นแต่จะได้มีข้อความระบุอนุญาตไว้ในใบอนุญาต
7. กรณีผู้รับอนุญาตทำไม้ต้องเสียค่าภาคหลวงตามที่กำหนดไว้ ข้อใด ไม่ถูกต้อง
ก. ต้องชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าท่อนหรือต้นละ 50 สตางค์เมื่อรับใบอนุญาต
ข. ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบ
ค. ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 60 วันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบ
ง. ถ้าผู้รับอนุญาตไม่ชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้น ภายในกำหนดเวลา ให้ไม้นั้นตกเป็นของแผ่นดิน
ตอบ ค.ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 60 วันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบ
มาตรา ๑๔ (๑๒) ผู้รับอนุญาตทำไม้ต้องเสียค่าภาคหลวงตามที่กำหนดไว้ ดั่งต่อไปนี้
(๑) ต้องชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าท่อนหรือต้นละห้าสิบสตางค์เมื่อรับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เว้นแต่ในท้อง ที่ใดที่คณะกรมการจังหวัดได้ประกาศโดยได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี ให้งดเว้นไม่ต้องเรียกเก็บเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้าหรือให้ลดค่าภาคหลวงล่วงหน้าลงจากอัตราที่กำหนดนี้ก็ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการจังหวัดนั้น ๆ
การทำไม้สัก ผู้รับอนุญาตจะต้องชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าตามอัตราที่ คณะกรรมการจังหวัดได้ประกาศโดยรับอนุ มติจากรัฐมนตรีหรือตามอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นรายๆไปการทำไม้ฟืนหรือทำไม้เผาถ่านไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงล่วงหน้า
(๒)ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบถ้าผู้รับอนุญาตไม่ชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้น ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวในวรรคก่อน ให้ไม้นั้นตกเป็นของแผ่นดินเว้นแต่ผู้รับอนุญาตจะได้รับอนุญาตให้ผัดผ่อนการชำระค่าภาคหลวงต่อไปตามข้อกำหนดในกฎกระทรวง
8. ข้อใดเป็นข้อยกเว้นสำหรับค่าภาคหลวง กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตให้ทำไม้
ก. เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยนแปลงต่อเติมบ้านเรือน
ข. เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับเครื่องมือหรือสิ่งอื่นที่ใช้ประกอบหรือเกี่ยวเนื่องในการกสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์หรือ การประมงหรือทำรั้วเพื่อป้องกันภยันตราย
ค. เพื่อการกุศลหรือสาธารณประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเห็นสมควร ตามปริมาณแห่งความจำเป็น
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
มาตรา ๑๙ นอกจากไม้สัก ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตให้ทำไม้ โดยยกเว้นค่าภาคหลวงได้ดั่งต่อไปนี้
(๑) เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยนแปลงต่อเติมบ้านเรือน ไม่เกินครอบครัวละสิบแปดบาท แต่ถ้าการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยน แปลงต่อเติมบ้านเรือน เพื่อให้เป็นไปตามแผนผังและแบบก่อสร้างที่ทางราชการ ได้กำหนดขึ้นไว้สำหรับราษฎร ให้ยกเว้นได้ไม่เกินครัวเรือนละสี่สิบบาท
(๒) เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับเครื่องมือหรือสิ่งอื่นที่ใช้ประกอบหรือเกี่ยวเนื่องในการกสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์หรือ การประมงหรือทำรั้วเพื่อป้องกันภยันตราย อย่างละไม่เกินครัวเรือนละสิบสองบาท
(๓) เพื่อการกุศลหรือสาธารณประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเห็นสมควร ตามปริมาณแห่งความจำเป็น
9. ข้อยกเว้นค่าภาคหลวง เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยนแปลงต่อเติมบ้านเรือน ไม่เกินครอบครัวละกี่บาท
ก. 18 บาท ค. 40 บาท
ข. 15 บาท ง. 30 บาท
ตอบ ก. 18 บาท (ดูคำอธิบายข้อ 7)
10. ข้อยกเว้นค่าภาคหลวง เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับเครื่องมือหรือสิ่งอื่นที่ใช้ประกอบหรือเกี่ยวเนื่องในการกสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์หรือ การประมงหรือทำรั้วเพื่อป้องกันภยันตราย อย่างละไม่เกินครัวเรือนละกี่บาท
ก. 20 บาท ค. 18 บาท
ข. 12 บาท ง. 30 บาท
ตอบ ข. 12 บาท
11. การยกเว้นค่าภาคหลวง ในข้อ 7 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาอนุญาตตามควรแก่ความจำเป็น และไม่ให้เกินครัวเรือนละหนึ่งครั้งภายในระยะกี่ปี
ก. 5 ปี ค. 15 ปี
ข. 10 ปี ง. 20 ปี
ตอบ ข. 10 ปี
มาตรา ๒๐ การยกเว้นค่าภาคหลวงตามความในมาตรา๑๙(๑)และ(๒)นั้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาอนุญาตตามควรแก่ความจำเป็น และไม่ให้เกินครัวเรือนละหนึ่งครั้งภายในระยะสิบปีนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตครั้งสุดท้าย แต่ถ้าเป็นการซ่อมแซมสิ่งชำรุดให้ยกเว้นค่าภาคหลวงได้ไม่เกินหนึ่งในสี่ของจำนวนค่าภาคหลวงที่ได้รับยกเว้นตามความในมาตราก่อนและการซ่อมแซมนั้นให้ยกเว้นได้ไม่เกินปีละหนึ่งครั้งบทบัญญัติในวรรคก่อนมิให้ใช้บังคับในกรณีที่มีการชำรุดเสียหายโดยภยันตรายอันเป็นเหตุสุดวิสัย
12. ผู้ที่จะรับประโยชน์ได้ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไม่ห่างจากที่ที่จะทำไม้เกินกว่ากี่กิโลเมตร
ก. 50 กิโลเมตร ค. 90 กิโลเมตร
ข. 70 กิโลเมตร ง. 100 กิโลเมตร
ตอบ ง. 100 กิโลเมตร
มาตรา ๒๑ ผู้ที่จะรับประโยชน์ได้ตามความในสองมาตราก่อน ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไม่ห่างจาก ที่ที่จะทำไม้เกินกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร และต้องรับรองว่าจะใช้ไม้ทำประโยชน์ตามที่ได้รับอนุญาต ภายในราชอาณาจักรไม่ห่างจากที่ที่ทำไม้เกินกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร
13. ผู้ใดได้รับอนุญาตใช้ไม้ทำประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาตต้องทำให้เสร็จภายในกำหนดกี่ปี
ก. 1 ปี ค. 3 ปี
ข. 2 ปี ง. 4 ปี
ตอบ ข. 2 ปี
มาตรา ๒๓ ผู้ใดรับอนุญาตตามความในส่วนนี้ ต้องใช้ไม้ทำประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้เสร็จภายในกำหนด สองปี นับแต่วันใบอนุญาตสิ้นอายุมิฉะนั้นผู้รับอนุญาตต้องเสียค่าภาคหลวงตามอัตรา ในจำนวนไม้ที่ยังไม่ได้ใช้ทำ ประโยชน์และต้องชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่ระยะเวลาดั่งกล่าวนั้นสิ้นสุดลง
14. ใครมีอำนาจประกาศเว้นไม้หวงห้ามบางชนิดจากการอนุญาต โดยยกเว้นค่าภาคหลวงหรือกำหนดปริมาณและชนิดไม้ที่จะพึงอนุญาตให้ทำไม้ได้โดยยกเว้นค่าภาคหลวง
ก. รัฐมนตรี
ข. เจ้าพนักงานป่าไม้
ค. คณะกรมการจังหวัด
ง. คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรี
ตอบ ง.คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรี
มาตรา ๒๔ คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศเว้นไม้หวงห้ามบางชนิดจากการอนุญาต โดยยกเว้นค่าภาคหลวงหรือกำหนดปริมาณและชนิดไม้ที่จะพึงอนุญาตให้ทำไม้ได้โดยยกเว้นค่าภาคหลวงตามความในส่วนนี้
15. ของป่าอย่างใดในท้องที่ใดจะให้เป็นของป่าหวงห้าม ให้กำหนดโดยกฎหมายใด
ก. พระราชบัญญัติ ค. ประกาศกระทรวง
ข. พระราชกฤษฎีกา ง. กฎกระทรวง
ตอบ ข. พระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๒๗ ของป่าอย่างใดในท้องที่ใดจะให้เป็นของป่าหวงห้าม ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
16. พระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นในข้อ 15 ให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดกี่วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ก. 30 วัน ค. 90 วัน
ข. 60 วัน ง. 120 วัน
ตอบ ค. 90 วัน
มาตรา ๒๘ การเพิ่มเติมหรือเพิกถอนของป่าหวงห้ามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไว้แล้วก็ดีหรือจะกำหนดของป่าอย่างใดให้เป็นของป่าหวงห้ามขึ้นในท้องที่ใด นอกจากท้องที่ที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดตามความในมาตราก่อน แล้วนั้นก็ดี ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามความในมาตรานี้ ให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
17. ในท้องที่ใดที่ได้กำหนดรวงผึ้งเป็นของป่าหวงห้าม ห้ามกระทำการใด
ก. ตัดหรือโค่นต้นยวงผึ้ง ค. เผาต้นไม้ที่ผึ้งทำรังอยู่
ข. ตัดต้นไม้ที่ผึ้งทำรังอยู่ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา ๓๑ ในท้องที่ใดที่ได้กำหนดรวงผึ้งเป็นของป่าหวงห้าม ห้ามมิให้ผู้ใดแม้จะเป็นผู้รับอนุญาตหรือผู้รับสัมปทาน เก็บหาของป่า ตัดหรือโค่นต้นยวงผึ้ง หรือต้นไม้ที่ผึ้งทำรังอยู่ หรือทำอันตรายด้วยประการใดแก่ต้นไม้ที่กล่าวแล้ว โดย ไม่จำเป็นแก่การเก็บหารวงผึ้ง
18. ห้ามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ในระหว่างเวลาใด
ก. 08.00 - 18.00 น. ค. 24.00 - 06.00 น.
ข. 01.00 - 12.00 น. ง. ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
ตอบ ง. ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
มาตรา ๔๑ ห้ามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหนังสือ
19. เมื่อมีไม้ไหลลอยมาตกอยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องประกาศโฆษณาให้เจ้าของเรียกเอาภายในเวลากำหนดแต่มิให้กำหนดน้อยกว่ากี่วัน นับแต่วันประกาศ
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน
มาตรา ๔๕ ทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนสิงหาคมเมื่อมีไม้ไหลลอยมาตกอยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศโฆษณาให้เจ้าของเรียกเอาภายในเวลากำหนดแต่มิให้กำหนดน้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันประกาศ
20. หากผู้อ้างสิทธิไม่พอใจในคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้คืนไม้ไหลลอย ผู้นั้นต้องร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลากี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ง. 30 วัน
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้คืนไม้ไหลลอย ให้แก่ผู้ที่อ้างสิทธิในไม้นั้น เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พอใจในหลักฐานที่ผู้นั้นนำมาแสดง ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งเป็นอย่างอื่นและผู้อ้างสิทธิไม่พอใจในคำสั่ง ผู้นั้นต้องไป ร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาสามสิบวัน นับแต่วันทราบคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ร้องภายใน กำหนดผู้นั้นหมดสิทธิว่ากล่าวต่อไป
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาลมิได้สั่งแสดงว่าผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในไม้นั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน
21. รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดท้องที่ใดให้เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศนั้นให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดกี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน
มาตรา 47 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดท้องที่ใดให้เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศนั้นให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศการอนุญาตนั้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติโดยมิชักช้า
22. ข้อใดคือคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกล
ก. เป็นเจ้าของ
ข. ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
ค. ไม่อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาต
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา 49 (26) ผู้ขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกลต้อง
(1) เป็นเจ้าของ และ
(2) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ความผิดที่เป็นลหุโทษหรือ
(3) ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือ
(4) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือ
(5) ไม่อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งออก ตามความในหมวดนี้ หรือใบอนุญาตทำไม้ ใบอนุญาตผูกขาดทำไม้ หรือสัมปทานทำไม้ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัตินี้
23. ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำการแปรรูปไม้ในระหว่างเวลาใด
ก. เวลากลางวัน ค. พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
ข. เวลากลางคืน ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
มาตรา 52 ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำการแปรรูปไม้ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหนังสือ
24. ผู้ค้าหรือผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้าม ที่มีชนิดไม้ ขนาดหรือปริมาณเกินกว่าชนิดไม้ขนาดหรือปริมาณที่ควบคุมอยู่แล้ว จะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในกี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ง. 30 วัน
มาตรา 53 จัตวา ในกรณีที่มีประกาศของรัฐมนตรีกำหนดเขตท้องที่ใดเป็นเขตควบคุมตามมาตรา 53 ทวิ ให้ผู้ค้าหรือผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้าม ที่มีชนิดไม้ ขนาดหรือปริมาณเกินกว่าชนิดไม้ขนาดหรือปริมาณที่ควบคุมอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศของรัฐมนตรีดังกล่าวใช้บังคับ ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ประกาศของรัฐมนตรีดังกล่าวที่ใช้บังคับ
25. ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือ กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า ถูกกล่าวไว้ในมาตราใด
ก. มาตรา 56 ค. มาตรา 54
ข. มาตรา 43 ง. มาตรา 60
ตอบ ค. มาตรา 54
มาตรา 54 (30) ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือ กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น เว้นแต่จะกระทำภายในเขตที่ได้ จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมและรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือโดยได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
26. ใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามความในพระราชบัญญัตินี้ จะโอนได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากใคร
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. รัฐมนตรี
ข. อธิบดีกรมป่าไม้ ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ก. พนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 56 ใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามความในพระราชบัญญัตินี้ จะโอนได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที
27. ถ้าผู้รับอนุญาตตาย ทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะทำการแทนตามใบอนุญาตนั้นต่อไป แต่จะต้องไม่เกินกี่วันนับแต่วันผู้รับอนุญาตตาย
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน
ถ้าผู้รับอนุญาตตาย ทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะทำการแทนตามใบอนุญาตนั้นต่อไปก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันผู้รับอนุญาตตาย และถ้าทายาทหรือผู้จัดการมรดกประสงค์จะทำการแทนต่อไปอีก ต้องยื่นคำขออนุญาตก่อนกำหนดเวลาที่กล่าวแล้วได้สิ้นสุดลง
28. ใครมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. รัฐมนตรี
ข. อธิบดีกรมป่าไม้ ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ก.พนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 59 (32) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ได้ดังต่อไปนี้
(1) เมื่อปรากฏว่าผู้รับอนุญาตฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้กฎกระทรวง ข้อกำหนด หรือเงื่อนไขในการอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามพระราชบัญญัตินี้ จะสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้ไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน
(2) เมื่อมีการฟ้องผู้รับอนุญาตต่อศาลว่า ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ จะสั่งพักใบอนุญาตไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดก็ได้
29. ใครมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. รัฐมนตรี
ข. อธิบดีกรมป่าไม้ ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ค. รัฐมนตรี
มาตรา 61 (33) ในกรณีที่เหตุแห่งการสั่งพักใช้ใบอนุญาตตามมาตรา 59 ปรากฏแก่รัฐมนตรี หรือเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สั่งพักใช้ใบอนุญาตตามมาตรา 59 แล้ว ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรจะสั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้เสียก็ได้
ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกล หรือผู้กระทำการแทนนิติบุคคลผู้รับอนุญาต ไม่มีลักษณะตามมาตรา 49 (1) หรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 49 (2) (3) หรือ (4) แล้วแต่กรณี ให้รัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
30. ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งไม่อนุญาตตามคำขอของบุคคลใดตามความในพระราชบัญญัตินี้ หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตบุคคลนั้นมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อรัฐมนตรีได้ภายในกำหนดกี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ง. 30 วัน
มาตรา 62 ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งไม่อนุญาตตามคำขอของบุคคลใดตามความในพระราชบัญญัตินี้ หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตตามความในมาตรา 59 บุคคลนั้นมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อรัฐมนตรีได้ภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้ถือเป็นที่สุด
31. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ใดในเขตสัมปทานเพื่อประโยชน์ในการสร้างเขื่อนชลประทานรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการใด
ก. ให้สัมปทานที่มีพื้นที่สัมปทานทับพื้นที่ดังกล่าวสิ้นสุดลงทั้งแปลง
ข. ให้ผู้รับสัมปทานหยุดการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานเป็นการชั่วคราวในพื้นที่ดังกล่าวตามระยะเวลาที่เห็นสมควร
ค. ตัดเขตพื้นที่ดังกล่าวออกจากพื้นที่ในสัมปทาน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา 68 ทวิ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ใดในเขตสัมปทานเพื่อประโยชน์ในการสร้างเขื่อนชลประทาน หรือเขื่อนพลังน้ำหรือเพื่อการป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือความมั่นคงของชาติ หรือเพื่อรักษาความสมดุลของสภาพแวดล้อม หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการดังต่อไปนี้
(1)ให้สัมปทานที่มีพื้นที่สัมปทานทับพื้นที่ดังกล่าวสิ้นสุดลงทั้งแปลง
(2)ให้ผู้รับสัมปทานหยุดการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานเป็นการชั่วคราวในพื้นที่ดังกล่าวตามระยะเวลาที่เห็นสมควร
(3) ตัดเขตพื้นที่ดังกล่าวออกจากพื้นที่ในสัมปทาน
32. เงินชดเชยความเสียหายที่ผู้รับสัมปทานมีสิทธิได้รับต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ใด
ก. ต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงแก่ผู้รับสัมปทาน
ข. ความรับผิดที่ผู้รับสัมปทานมีต่อบุคคลภายนอก ตามสัญญาระหว่างผู้รับสัมปทานกับบุคคลภายนอกที่เกี่ยวเนื่องกับการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน
ค. ห้ามมิให้มีการจ่ายเงินชดเชยเพื่อกำไรหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ผู้รับสัมปทานคาดว่าจะได้รับจากการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
มาตรา 68 สัตตะ เงินชดเชยความเสียหายที่ผู้รับสัมปทานมีสิทธิได้รับให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงแก่ผู้รับสัมปทานและเฉพาะในเรื่องดังต่อไปนี้
(ก) เงินลงทุนที่ผู้รับสัมปทานได้ใช้จ่ายไปเพื่อการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน เช่น ค่าเครื่องจักรกล ค่ายานพาหนะ ค่าเครื่องมือ เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งผู้รับสัมปทานยังใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า ทั้งนี้โดยให้คำนึงถึงค่าเสื่อมราคาที่ได้หักไว้แล้ว ระยะเวลาของสัมปทานที่ผู้รับสัมปทานได้ใช้สิทธิการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานไปแล้ว จำนวนไม้หรือของป่าที่ผู้รับสัมปทานได้ทำออกไปแล้วรวมทั้งประโยชน์อย่างอื่นที่ผู้รับสัมปทานได้รับไป อันเนื่องจาการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานในระหว่างอายุสัมปทาน และมูลค่าของทรัพย์สินหรือสิ่งของที่เหลืออยู่และยังเป็นประโยชน์ต่อผู้รับสัมปทาน
(ข) ค่าใช้จ่ายที่ผู้รับสัมปทานได้จ่ายไปเพื่อการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานและยังมิได้รับผลประโยชน์กลับคืน ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ใน (ก) และ
(ค) ความผูกพันตามกฎหมาย ที่ผู้รับสัมปทานมีอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่มีการเลิกจ้าง
เงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายที่นำมาพิจารณาเพื่อรับเงินชดเชยตาม (ก) และ (ข) จะต้องไม่เกินกว่าที่เป็นเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายตามที่ผู้ประกอบธุรกิจจะลงทุนหรือใช้จ่ายในกิจการเช่นนั้นโดยทั่วไปตามปกติ
(2) ความรับผิดที่ผู้รับสัมปทานมีต่อบุคคลภายนอก ตามสัญญาระหว่างผู้รับสัมปทานกับบุคคลภายนอกที่เกี่ยวเนื่องกับการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน หากมีข้อสัญญาที่คู่สัญญาตกลงให้ผู้รับสัมปทานต้องรับผิด ในกรณีเหตุสุดวิสัยให้แตกต่างไปจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือมีข้อสัญญาที่สัญญาตกลงให้ผู้รับสัมปทานต้องรับผิดเพราะรัฐสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกสัมปทาน ข้อสัญญาดังกล่าวย่อมไม่มีผลใช้บังคับเพื่อการให้เงินชดเชยความเสียหายตามมาตรานี้
(3) ห้ามมิให้มีการจ่ายเงินชดเชยเพื่อกำไรหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ผู้รับสัมปทานคาดว่าจะได้รับจากการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน
(4) ในกรณีที่การเลิกสัมปทานเป็นเหตุให้ผู้รับสัมปทานได้รับเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อย่างอื่นตอบแทนจากการประกันหรือการอื่นใดเพื่อทดแทนความเสียหาย ให้ถือว่าเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเงินชดเชยความเสียหายตามมาตรานี้
33. ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานประสงค์จะเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหาย ผู้รับสัมปทานจะต้องยื่นคำขอเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่อใคร
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. อธิบดีกรมป่าไม้
ข. รัฐมนตรี ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ค. อธิบดีกรมป่าไม้
ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานประสงค์จะเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหาย ผู้รับสัมปทานจะต้องยื่นคำขอเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่ออธิบดีกรมป่าไม้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้รับสัมปทานได้รับหนังสือของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่แจ้งคำสั่งของรัฐมนตรี หรือแจ้งการสิ้นสุดของสัมปทานตามวรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี
34. จากข้อ 33 การยื่นคำขอเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต้องทำภายในเวลากี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน (ดูคำอธิบายข้อ 28)
35. คณะกรรมการพิจารณากำหนดเงินชดเชยความเสียหาย ที่อธิบดีกรมป่าไม้แต่งตั้งมีกี่คน
ก. 3 คน ค. 5 คน
ข. 4 คน ง. 6 คน
ตอบ ข. 4 คน
มาตรา 68 นว ในการพิจารณากำหนดเงินชดเชยความเสียหาย ให้อธิบดีกรมป่าไม้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยผู้แทนกรมสรรพากรหนึ่งคน ผู้แทนสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหนึ่งคน ผู้มีความรู้ความสามารถในการตีราคาทรัพย์สินหนึ่งคน และเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้หนึ่งคน เพื่อทำหน้าที่พิจารณากำหนดเงินชดเชยความเสียหาย
36. ผู้รับสัมปทานผู้ใดไม่พอใจในเงินชดเชยความเสียหายที่อธิบดีกรมป่าไม้แจ้งให้ทราบมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในกี่วัน
ก. 15 วัน ค. 60 วัน
ข. 30 วัน ง. 90 วัน
ตอบ ค. 60 วัน
มาตรา 68 ทศ ผู้รับสัมปทานผู้ใดไม่พอใจในเงินชดเชยความเสียหายที่อธิบดีกรมป่าไม้แจ้งให้ทราบตามมาตรา 68 นว ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมป่าไม้ดังกล่าว
37. จากข้อ 35 รัฐมนตรีจะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย และผู้มีความรู้ความสามารถในการตีราคาทรัพย์สิน เป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรี จำนวนกี่คน
ก. 9 คน ค. 5 คน
ข. ไม่น้อยกว่า 9 คน ง. ไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 9 คน
ตอบ ง. ไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 9 คน
ในการพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย และผู้มีความรู้ความสามารถในการตีราคาทรัพย์สิน มีจำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่าห้าคน แต่ไม่เกินเก้าคนเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรี ทั้งนี้ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์
38. รัฐมนตรีจะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกี่วัน นับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์
ก. 15 วัน ค. 60 วัน
ข. 30 วัน ง. 90 วัน
ตอบ ค. 60 วัน (ดูคำอธิบายข้อ 32)
39. ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในระยะเวลาเท่าใด
ก. 1 ปี ค. 3 เดือน
ข. 6 เดือน ง. 2 ปี
ตอบ ก. 1 ปี
มาตรา 68 เอกาทศ ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 68 ทศ หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 68 ทศวรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดดังกล่าว แล้วแต่กรณี
40. ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลและศาลพิพากษา ให้ผู้รับสัมปทานได้รับเงินชดเชยความเสียหายเพิ่มขึ้น ผู้รับสัมปทานมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของเงินชดเชยความเสียหายเฉพาะในส่วนที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละเท่าใด
ก. ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ค. ร้อยละห้าต่อปี
ข. ร้อยละเจ็ดต่อปี ง. ร้อยละห้าครึ่งต่อปี
ตอบ ก. ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลและศาลพิพากษา ให้ผู้รับสัมปทานได้รับเงินชดเชยความเสียหายเพิ่มขึ้น ผู้รับสัมปทานมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของเงินชดเชยความเสียหายเฉพาะในส่วนที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
41. ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือรอยตรารัฐบาลขาย ต้องระวางโทษอย่างไร
ก. จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ค. จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 200,000 บาท
ง. ปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ตอบ ข. จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 69 (36) ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือรอยตรารัฐบาลขาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
42. ในกรณีความผิด ถ้าไม้ที่มีไว้ในครอบครองเป็น ไม้สัก ไม้ยาง หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. ต้องระวางโทษอย่างไร
ก. จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ค. จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 200,000 บาท
ง. ปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ตอบ ค. จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 200,000 บาท
ในกรณีความผิดตามมาตรานี้ ถ้าไม้ที่มีไว้ในครอบครองเป็น
(1) ไม้สัก ไม้ยาง หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. หรือ
(2) ไม้อื่นเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือ ท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร
ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท
43. ผู้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในอนุญาต ต้องระวางโทษอย่างไร
ก. จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท
ข. จำคุกตั้งแต่ห้าเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท
ค. จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ง. จำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ตอบ ก. จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท
44. ใครเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ง. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ตอบ ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
45. ใครเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ก. จอมพลถนอม กิตติขจร ค. พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ข. ป. พิบูลสงคราม ง. พันตรีควง อภัยวงศ์
ตอบ ข. ป. พิบูลสงคราม
แนวข้อสอบนักวิชาการป่าไม้
1. ข้อใดคือหลักในการอนุรักษ์สัตว์ป่า
ก. การใช้กฎหมายควบคุม
ข. การสงวนแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
ค. การเพาะพันธุ์เพิ่ม
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
การอนุรักษสัตว์ป่า
สัตว์ป่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถทำให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ แต่ถ้าหากสัตว์ป่าชนิดใดสูญพันธุ์ไปแล้ว จะไม่สามารถสร้างพันธุ์ของสัตว์ป่าชนิดนั้นขึ้นมาได้อีก การอนุรักษ์สัตว์จึงควรมีหลักดังนี้
1. การใช้กฎหมายควบคุม
2. การสงวนแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
3. การเพาะพันธุ์เพิ่ม
4. การค้นคว้าวิจัยทางวิชาการ
5. การใช้ประโยชน์จากสัตว์ตรงตามหลักการอนุรัก์ทรัพยากร
2. ประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ก. 1 ประเภท ได้แก่ ประโยชน์เฉพาะส่วน
ข. 2 ประเภท ได้แก่ ประโยชน์ทางตรง และประโยชน์ทางอ้อม
ค. 3 ประเภท ได้แก่ ประโยชน์ทางตรง ประโยชน์ทางอ้อม และประโยชน์เฉพาะส่วน
ง. 4 ประเภท ได้แก่ ประโยชน์ทางตรง ประโยชน์ทางอ้อม ประโยชน์บนดิน และประโยชน์ผิวดิน
ตอบ ข. 2 ประเภท ได้แก่ ประโยชน์ทางตรง และประโยชน์ทางอ้อม
ประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้
1. ประโยชน์ทางตรง เช่น การนำไม้มาสร้างบ้านและใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ (กระดาษ เฟอร์นิเจอร์) การนำส่วนต่างๆ ของพืชมาเป็นอาหาร (ผล ใบ ราก) การนำไม้บางชนิดมาสกัดหรือทำยารักษาโรคต่างๆ นอกจากนี้ยังนำไม้มาเป็นวัตถุดิบในการทำเชือก (เถาวัลย์) เป็นต้น
2. ประโยชน์ทางอ้อม เช่น ป่าไม้เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร ช่วยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทำให้เกิดความชุ่มชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ ลดภาวะโลกร้อนเป็นแหล่งพักผ่อนและศึกษาหาความรู้ ช่วยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุและป้องกันอุทกภัย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดินด้วย
3. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ
ก. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว
ข. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาค้อ
ค. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองหัวคู
ง. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์
ตอบ ค. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองหัวคู
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองแวง จังหวัดชัยภูมิ
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองหัวคู จังหวัดอุดรธานี
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขลงหลง จังหวัดหนองคาย
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์
4. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขลงหลงอยู่ในจังหวัดอะไรทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ก. จังหวัดหนองคาย
ข. จังหวัดอุดรธานี
ค. จังหวัดชัยภูมิ
ง. จังหวัดบุรีรัมย์
ตอบ ก. จังหวัดหนองคาย
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น
5. ข้อใดคือประโยชน์ของป่าแดง
ก. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของละอง หรือละมั่ง
ข. เป็นที่หลบซ่อนคุ้มกันภัย
ค. ช่วยรักษาต้นน้ำลำธารและดุลย์ธรรมชาติ
ง. เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้าง
ตอบ ก. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของละอง หรือละมั่ง
แม้ว่าป่าแดงจะประกอบด้วยพันธุ์ไม้ผลัดใบเป็นส่วนใหญ่และมีไฟป่าหน้าแล้ง จึงให้ประโยชน์ในแง่ของการรักษาต้นน้ำลำธารไม่ดีเท่าที่ควร แต่ป่าแดงก็สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่สัตว์ป่าอย่างยิ่ง และเป็นแหล่งที่อยู่อาสัยสำคัญของละองหรือละมั่ง เนื้อทราย เก้ง กวาง วัวแดง กระต่ายป่า และนกป่าหลายชนิด เช่น นกแก้ว นกขุนทอง และนกหัวขวานชนิดต่างๆ
6. โครงการพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 1 คือที่ใด
ก. ห้วยทุ่งจ๊อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ข. อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน
ค. แม่ตาช้าง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
ง. ดอยมูเซอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
ตอบ ก. ห้วยทุ่งจ๊อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
การดำเนินงานสนองพระราชดำริ
ในการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธารที่เสื่อมโทรมมีหลานหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินงานสนองพระราชดำริด้วยวิธีการต่างๆ กัน ได้แก่ การอนุรักษ์ป่า การอนุรักษ์ดินและน้ำโดยทางพืชร่วมกันการก่อสร้างคันดินหรือสร้างขั้นบันได รวมทั้งวิธีการก่อสร้างฝายปิดกั้นทางน้ำในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ดังต่อไปนี้
กรมป่าไม้ได้จัดตั้งและดำเนินงานโครงการพัฒนาต้นน้ำตามแนวพระราชดำเริหลายหน่วยกระจายอยู่ตามท้องที่จังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือมีการปลูกเสริมป่าไม้เพื่ออนุรักษ์ต้นน้ำลำธารในบริเวณที่เสื่อมโทรมและสนองพระราชดำริในการจัดให้ชาวไทยภูเขาได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านพัฒนาชาวเขา โดยมีที่ดินถาวรสำหรับทำมาหากินเพื่อป้องกันและลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อใช้พื้นที่ทำไร่เลื่อนลอย ในพื้นที่จัดสรรให้เพาะปลูกเหล่านี้มีการปรับพื้นที่เป็นนาขั้นบันไดเพื่อปลูกข้าวหรือก่อสร้างคันดินชะลอความเร็วของน้ำที่ไหลบ่ามาตามผิวดิน แล้วใช้ปลูกพืชเศรษฐกิจอันเป็นการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างถูกต้องตามหลักการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่น
- โครงการพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 1 ห้วยทุ่งจ๊อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
- โครงการพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 27 อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน
- โครงการพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 29 แม่ตาช้าง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
- โครงการพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 32 ดอยมูเซอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
- โครงการพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 34 ขุนงาว อำเภองาว จังหวัดลำปาง
7. โครงการพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 29 คือที่ใด
ก. ห้วยทุ่งจ๊อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ข. อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน
ค. แม่ตาช้าง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
ง. ดอยมูเซอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
ตอบ ค. แม่ตาช้าง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น
8. บุคคลใดเป็นผู้รักษาการพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ข. ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ง. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตอบ ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้อำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
9. ป่าเบญจพรรณมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ก. ป่าผลัดใบสามฤดู
ข. ป่าผลัดใบผสม
ค. ป่าผลัดใบลูกผสม
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ข. ป่าผลัดใบผสม
ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous
บางครั้งเราเรียกป่าเบญจพรรณว่า “ป่าผลัดใบผสม” เนื่องจากเป็นป่าที่มีไม้ชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่มากและส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ชนิดผลัดใบ แม้ว่าป่าเบญจพรรณจะมีลักษณะค่อนข้างโปร่งในหน้าแล้งและเกิดไฟป่าลุกไหม้เช่นเกียวกับป่าแดง แต่โดยที่ป่าชนิดนี้มักจะเกิดตามเนินเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายหน้าดินลึกและมีความอุดมสมบูรณ์กว่าบริเวณป่าแดง ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่จึงมีขนาดใหญ่และขนาดกลางหลายชนิด ทำให้ป่าดูแน่นทึบและเขียวชอุ่มในฤดูฝนดูไม่แตกต่างกับป่าดงดิบ
10. ป่าเบญจพรรณมีลักษณะคล้ายคลึงกับป่าประเภทใด
ก. ป่าชายเลน
ข. ป่าดงดิบเขา
ค. ป่าดงดิบ
ง. ป่าแดง
ตอบ ค. ป่าดงดิบ
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น
11. ผู้ที่ฝ่าฝืนนำสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์พาหนะเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ จะต้องระวางโทษตามข้อใด
ก. ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
ข. ปรับไม่เกินสองพันบาท
ค. จำคุกไม่เกินสามเดือน
ง. จำคุกไม่เกินสี่เดือน
ตอบ ก. ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
มาตรา 16 ภายในเขตอุทยานแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใด
(6) ปิดหรือทำให้กีดขวางแก่ทางน้ำหรือทางบก
(7) เก็บหา นำออกไป ทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพซึ่งกล้วยไม้ น้ำผึ้ง ครั่ง ถ่านไม้ เปลือกไม้ หรือมูลค้างคาว
(9) นำยานพาหนะเข้าออก หรือชขับขี่ยานพาหนะในทางที่มิได้จัดไว้เพื่อการนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
(10) นำอากาศยานขึ้นลงในที่ที่มิได้จัดไว้เพื่อการนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
(11) นำหรือปล่อยปศุสัตว์เข้าไป
มาตรา 25 ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 16 (6) (7) (9) (10) (11) มาตรา 17 หรือ มาตรา 18 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
12. ข้อใดต่อไปนี้คือข้อห้ามภายในอุทยานแห่งชาติ
ก. ปิดหรือทำให้กีดขวางแก่ทางน้ำหรือทางบก
ข. ทิ้งสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงซึ่งอาจทำให้เกิดเพลิง
ค. เข้าไปดำเนินกิจการใดๆ เพื่อหาผลประโยชน์
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา 16 ภายในเขตอุทยานแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใด
(1) ยึดถือหรือครอบครองที่ดิน รวมตลอดถึงก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า
(2) ปิดหรือทำให้กีดขวางแก่ทางน้ำหรือทางบก
(3) ทิ้งสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงซึ่งอาจทำให้เกิดเพลิง
(4) ส่งเสียงอือฉาวหรือกระทำการอื่นอันเป็นการรบกวน หรือเป็นที่เดือนร้อนรำคาญแก่คนหรือสัตว์
(5) เข้าไปดำเนินกิจการใดๆ เพื่อหาผลประโยชน์เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
(6) นำยานพาหนะเข้าออก หรือขับขี่ยานพาหนะในทางที่มิได้จัดไว้เพื่อการนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ฯลฯ
13. วิธีการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธารคือ
ก. การอนุรักษ์ป่าไม้
ข. การอนุรักษ์ดิน
ค. การอนุรักษ์น้ำ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
วิธีการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร
การอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร หมายถึง การใช้ การดูแลรักษาและปรับปรุงพื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ได้แก่ ป่าไม้ ดิน และน้ำ ด้วยวิธิการที่เหมาะสมโดยให้มีการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ แต่น้อยแล้วได้รับประโยชน์คุ้มค่าอีกทั้งยังรวมถึงการป้องกันและรักษาทรัพยากรธรรมชาติบางอย่างซึ่งถูกทำลายให้มีคุณภาพดีดังเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ถ้าพบว่าบริเวณใดของพื้นที่ต้นน้ำลำธารมีความเสื่อมโทรมเกิดขึ้นจะต้องรีบดำเนินการปรับปรุงฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมเหล่านั้นให้คืนสภาพโดยเร็วที่สุดเสมอ วิธีการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร โดยทั่วไปประกอบด้วยการอนุรักษ์ป่าไม้ร่วมกับการอนุรักษ์ดินและน้ำ
14. ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าเพียงฉบับเดียวคือ
ก. พระราชบัญญัติคุ้มครองช้างป่า พ.ศ. 2504
ข. พระราชบัญญัติการรักษาช้างป่า ร.ศ. 119
ค. พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่า ร.ศ. 119
ง. พระราชบัญญัติการรักษาสมดุลธรรมชาติ พ.ศ. 2504
ตอบ ข. พระราชบัญญัติการรักษาช้างป่า ร.ศ.119
พ.ศ. 2443 - ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าเพียงฉบับเดียว คือ พระราชบัญญัติการรักษาช้างป่า ร.ศ.119 แต่กฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาเพื่อรักษาช้างป่าอย่างเดียว
- ในสมัยนั้นการล่าสัตว์ของชาวชนบทถือเป็นเรื่องปกติ
- คนเมือง การล่าสัตว์เพื่อเอาเขา หรือหนัง ถือเป็นเกมกีฬาชนิดหนึ่ง
15. การสัตว์ของคนประเภทใด เป็นการล่าสัตว์ถือเป็นเกมกีฬาชนิดหนึ่ง
ก. ชาวชนบท
ข. คนเมือง
ค. คนชั้นสูง
ง. นักการเมือง
ตอบ ข. คนเมือง
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น
16. อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งห้ามการค้าชนิดสัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
ก. CIWFF
ข. CISWF
ค. CITES
ง. CIESW
ตอบ ค. CITES
นอกจากประเทศไทยจะได้มีการอนุรักษ์พื้นที่ไว้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และมีมาตรการควบคุมการล่าสัตว์ป่าแล้ว ยังได้ให้ความร่วมมือกับประชาคมโลกในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าด้วยการเข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endanger Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ที่เป็นความร่วมมือของสมาชิกในการที่จะร่วมกันควบคุมและป้องกันการค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศ ตลอดจนเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาความหลากหมายทางชีวภาพและอนุสัญญา RAMSAR ว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำในการอนุรักษ์ชนิดและชนิดถิ่นที่อยู่อาศัยและสัตว์ป่าเหล่านั้น
17. ป่าประเภทใดที่มีไฟป่าเป็นประจำ
ก. ป่าแดง
ข. ป่าเบญจพรรณ
ค. ป่าดงดิบ
ง. ป่าชายเลน
ตอบ ก. ป่าแดง
ป่าแดง ป่าแพ หรือป่าเต็งรัง (Dry Dipterocarp Forest) พบขึ้นสลับกับป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลาง ไม้เด่นอันเป็นไม้ดัชนีประกอบด้วยไม้ในวงศ์ยาง ฤดูแล้งจะผลัดใบและมีไฟป่าเป็นประจำ ป่าเต็งรังมีถิ่นกระจายโดยกว้างๆ ซ้อนทับกันอยู่กับป่าเบญจพรรณ แต่อาจแคบกว่าเล็กน้อยทั้งนี้เนื่องจากมีปัจจัยกำหนดที่เกี่ยวข้องกับความแห้งแล้ง มีปรากฎตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีขึ้นไปจนถึงเหนือสุดในจังหวัดเชียงราย ป่าชนิดนี้เป็นสังคมพืชเด่นในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่ปรากฎสลับกันไปกับป่าเบญจพรรณ ในพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งจัด กักเก็บน้ำได้แล้ว เช่น บนสันเนิน พื้นที่ราบเป็นทรายจัดหรือบนดินลูกรังที่มีชั้นของลูกรังตื้น ตั้งแต่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-1,000 เมตร
18. หลักวิชาการในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้คือ
ก. พื้นที่ป่าอนุรักษ์
ข. พื้นที่ป่าสงวน
ค. พื้นที่ป่าเพาะพันธุ์
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ก. พื้นที่ป่าอนุรักษ์
การจัดการทรัพยากรป่าไม้
จากการที่พื้นที่ป่าไม้ลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนานัปการและผลิตผลป่าไม้ลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยหลักวิชาการในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าอย่างจริงจัง โดยแยกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
1. พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ประกอบด้วยพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร หรือพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า การจัดการควรมุ่งเน้นที่จะรักษาไว้สำหรับเป็นป่าป้องกันภัยหรือเป็นป่าอเนกประสงค์ให้มากที่สุด เนื่องจากเป็นป่าสาธารณประโยชน์โดยในการบริหารการจัดการจะต้องให้ความสำคัญระดับสูงต่อการป้องกันรักษาป่าที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ส่วนบริเวณที่มีสภาพเสื่อมโทรม โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ควรรีบเร่งแก้ไขปรับปรุงให้มีสภาพดียิ่งขึ้น
2. พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ในชั้นต้นจะต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันรักษาป่า ทั้งที่เป็นธรรมชาติและสวนป่า รวมทั้งหาวิธีเพิ่มผลิตผลของป่าไม้ในเนื้อที่ป่าที่เหลืออยู่นี้ให้อำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ประเทศชาติและประชาชนให้มากที่สุด
19. ห้ามมิให้บุคคลใดกระทำให้หลักเขต ป้าย เครื่องหมายอื่นๆ เคลื่อนที่ ลบเลือน เสียหาย หรือไร้ประโยชน์ ยกเว้นข้อใด
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่
ข. อธิบดีกรมป่าไม้
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ง. คณะรัฐมนตรี
ตอบ ก. พนักงานเจ้าหน้าที่
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
มาตรา 17 ห้ามมิให้บุคคลใดกระทำให้หลักเขต ป้าย หรือเครื่องหมายอื่นๆ ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่จัดให้มีตามพระราชบัญญัตินี้เคลื่อนที่ ลบเลือน เสียหาย หรือไร้ประโยชน์
มาตรา 19 บทบัญญัติใน มาตรา 16 และ มาตรา 17 มิให้ใช้บังคับแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการไปเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองและดูแลรักษาอุทยานแห่งชาติ หรือการศึกษา หรือวิจัยทางวิชาการ หรือเพื่ออำนวยความสะดวกในการทัศนาจร หรือการพักอาศัย หรือเพื่ออำนวยความปลอดภัยหรือให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติของรัฐมนตรี
20. ข้อใดมิใช่ประโยชน์ทางตรงของป่าไม้
ก. เชื้อเพลิง
ข. วัตถุเคมี
ค. บรรเทาอุทกภัย
ง. ยารักษาโรค
ตอบ ค. บรรเทาอุทกภัย
ประโยชน์ทางตรงของป่าไม้
1. ไม้ เป็นผลิตผลจากป่าและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่โบราณกาล เนื่องจากมีคุณสมบัติเฉพาะตัวซึ่งบางครั้งใช้สิ่งอื่นทดแทนไม่ได้ ไม้จึงยังคงเป็นที่นิยมใช้อย่างกว้างขวาง
2. เชื้อเพลิง ที่ได้จากป่าคือฟืนและถ่านใช้ในการหุงต้ม และใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
3. วัตถุเคมี ที่ได้จากไม้ ได้แก่ เซลลูโลสและลิกนิน เซลลูโลสใช้ในการทำกระดาษ ไหมเทียม วัตถุระเบิด น้ำตาล แอลกอฮอล์ และยีสต์ ส่วนลิกนินใช้ในการทำวานิลา น้ำหอม เครื่องสำอาง ยาถนอมอาหารไม่ให้บูดเน่า และยารักษาโรคผิวหนัง
4. อาหาร มนุษย์ได้อาหารหลายอย่างจากป่า เช่น ดอก ผล ใบ เมล็ด หน่อไม้ เห็ด มันต่างๆ และอาหารที่ได้จากสัตว์ป่า
5. ยารักษาโรค ที่ได้จากป่าที่สำคัญมีสมุนไพร
21. บุคคลใดต่อไปนี้คือประธานในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ค. อธิบดีกรมป่าไม้
ง. ผู้แทนกรมที่ดิน
ตอบ ข. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
มาตรา 9 ให้มีกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน อธิบดีกรมป่าไม้ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรมที่ดิน และกรรมการอื่นไม่เกิน 11 คน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง
22. ในระดับความสูงตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล สามารถพบป่าประเภทใด
ก. ป่าดงดิบ
ข. ป่าดงดิบเขา
ค. ป่าชายเลน
ง. ป่าชายหาด
ตอบ ข. ป่าดงดิบเขา
ป่าดงดิบเขา (Hill Evergreen Forest) ป่าดงดิบเขาเป็นป่าดงดิบอีกชนิดหนึ่งซึ่งตามปกติจะเกิดขึ้นบนพื้นที่ ซึ่งมีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ประมาณ 1,000 เมตรขึ้นไป สภาพป่าดูเขียวชะอุ่มตลอดปี และมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่นเกือบเท่ากับป่าดงดิบชื้น ป่าชนิดนี้มักมีมากทางภาคเหนือ ส่วนภาคอื่นๆ มักปรากฎตามเทือกเขาสูงๆ เช่น ป่าภูหลวง จังหวัดเลย, ป่าเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก, ป่าเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
23. การสวงนและรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ มีรูปแบบการจัดการพื้นที่ตามข้อใด
ก. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ข. เขตเพาะพันธุ์สัตว์ป่า
ค. เขตห้ามล่าสัตว์ป่า
ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. และ ค.
ตอบ ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. และ ค.
การสงวนและรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า คือ การรักษาป่าไม้ประเภทต่างๆ ซึ่งมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ป่าแต่ละชนิดให้คงอยู่ตลอดไป โดยมีรูปแบบการจัดการพื้นที่เป็น 2 ลักษณะ คือ
1. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดพื้นที่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยปลอดภัย เพื่อว่าสัตว์ป่าในพื้นที่ดังกล่าวจะได้มีโอกาสสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ตามธรรมชาติได้มากขึ้น ทำให้สัตว์ป่าบางส่วนได้มีโอกาสขยายจำนวนออกไปในท้องถิ่นอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
2. เขตห้ามล่าสัตว์ป่า อาณาบริเวณที่ทางราชการได้กำหนดไว้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าบางชนิด โดยออกเป็นประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามความใน มาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า มักจะมีขนาดไม่กว้างเหมือนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณซึ่งใช้ในราชการหรือเพื่อใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ร่วมกัน
24. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติในข้อใด
ก. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503
ข. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2504
ค. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2505
ง. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2506
ตอบ ก. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น
25. ผู้รับในองพระบรมราชโองการในพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 คือ
ก. นายพจน์ สารสิน
ข. จอมพลถนอม กิตติขจร
ค. จอมพล ส. ธนะรัชต์
ง. นายสัญญา ธรรมศักดิ์
ตอบ ค. จอมพล ส. ธนะรัชต์
26. การเสื่อมโทรมของต้นน้ำลำธารโดยความเป็นไปของธรรมชาติคือ
ก. การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
ข. ลมพัดแรงหรือพายุดพัดพาดินให้เคลื่อนที่หรือสึกกร่อน
ค. การใช้ดินที่ไม่เหมาะสมตามสมรรถนะของที่ดิน
ง. การเผาป่าด้วยสาเหตุต่างๆ กัน
ตอบ ข. ลมพันแรงหรือพายุพัดพาดินให้เคลื่อนที่หรือสึกกร่อน
ความเป็นไปของธรรมชาติ ได้แก่
1. ฝนตกหนักแล้วเกิดน้ำไหลบนผิวดินมีปริมาณมากเกินกว่าปกติ
2. ลมพัดแรงหรือพายุพัดพาดินให้เคลื่อนที่หรือสึกกร่อน
3. พื้นดินตามบริเวณที่มีความลาดชันหรือชายเนินได้เลื่อน
27. หากมีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ เป็นเหตุให้มีสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่หรือมีสิ่งอื่นใดในอุทยานแห่งชาติผิดไปจากสภาพเดิม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้กระทำความผิดกระทำการตามข้อใดต่อไปนี้
ก. รื้อถอนสิ่งนั้นๆ ออกไปให้พ้นอุทยานแห่งชาติ
ข. ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
ค. รื้อถอนสิ่งนั้นๆ และให้ปลูกต้นไม้ทดแทนหนึ่งร้อยต้น
ง. ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
ตอบ ก. รื้อถอนสิ่งนั้นๆ ออกไปให้พ้นอุทยานแห่งชาติ
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
มาตรา 22 ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ เป็นเหตุให้มีสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่หรือมีสิ่งอื่นใดในอุทยานแห่งชาติผิดไปจากสภาพเดิม ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้กระทำความผิดทำลายหรือรื้อถอนสิ่งนั้นๆ ออกไปให้พ้นอุทยานแห่งชาติ หรือทำให้สิ่งนั้นๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วแต่กรณี ถ้าผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตาม หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด หรือเพื่อป้องกัน หรือบรรเทาความเสียหายแก่อุทยานแห่งชาติ พนักงานเจ้าหน้าที่จะกระทำดังกล่าวแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งเสียเองก็ได้ตามสมควรแก่กรณี และผู้กระทำความผิดมีหน้าที่ชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการที่พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำเสียเองนั้น
28. ข้อใดมิใช่ประเภทของป่าผลัดใบ
ก. ป่าเบญจพรรณ
ข. ป่าเต็งรัง
ค. ป่าหญ้า
ง. ป่าชายเลน
ตอบ ง. ป่าชายเลน
ป่าผลัดใบ (
1. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous
2. ป่าแดง ป่าแพะ หรือป่าเต็งรัง (
3. ป่าหญ้า (
29. โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา มีชื่อเรียกอย่างว่า
ก. โครงการหลวง
ข. โครงการพัฒนาชาวเขา
ค. โครงการชั่งหัวมัน
ง. โครงการชาวเขา
ตอบ ก. โครงการหลวง
ใน พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาขึ้น หรือเรียกว่า “โครงการหลวง” ในระยะต่อมามีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อที่จะให้ชาวไทยภูเขาได้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอย่างถาวรเป็นหลักแหล่ง ส่งเสริมให้ปลูกผลไม้เมืองหนาวและพืชเมืองหนาวต่างๆ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งจะมีผลช่วยในการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำลำธารให้พ้นจากความเสื่อมโทรมได้
30. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการหลวงเมื่อใด
ก. พ.ศ. 2510
ข. พ.ศ. 2511
ค. พ.ศ. 2512
ง. พ.ศ. 2513
ตอบ ค. พ.ศ. 2512
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น

รับเหมารางน้ำฝนกันสาดใกล้ฉัน